วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สรุปบทที่ 10

M-Commerce ในอนาคตสามาทำอะไรได้บ้าง
















หากพูดถึง E-Commerce หรือการค้าออนไลน์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ช่องทางหนึ่งที่น่าจับตามองคือกระแสการเติบโตของการค้าบนมือถือ หรือที่เรียกกันว่า M-Commerce (Mobile Commerce) จากตัวเลขประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการใช้งาน 3G ที่จะเปิดให้ใช้งานจริงมากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น แท็บเล็ตและโทรศัพท์มือถือมีจำนวนมากและราคาถูกลง ก็ยิ่งทำให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์พกพามากขึ้น
การช้อปปิ้งสินค้าผ่านทางอุปกรณ์พกพาอย่างโทรศัพท์มือถือ จึงกลายเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไม่อาจมองข้าม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดดอทคอม จำกัด เปิดเผยตัวเลขว่า เวลานี้มีผู้เข้าเว็บไซต์ตลาดดอทคอมโดยใช้อุปกรณ์พกพาหรือโทรศัพท์มือถือสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ทั้งหมด โดยยอดขายสินค้ากว่า 11 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการซื้อ-ขายผ่านอุปกรณ์พกพา สะท้อนให้เห็นว่า โอกาสทางการค้าของ M-Commerce ในเมืองไทยมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ผู้บริหารเว็บไซต์ที่เป็นต้นแบบของการทำธุรกิจ E-Commerce ในเมืองไทยวิเคราะห์ว่า M-Commerce จะเป็นช่องทางที่ช่วยเสริมทำให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นได้ โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนที่ซื้อสินค้าในเว็บไซต์ตลาดดอทคอมในช่วงเวลาปกติ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นจะเป็นคนที่ซื้อผ่านทางคอมพิวเตอร์ ส่วนช่วงเวลาเที่ยงหรือช่วงหลังหกโมงเย็นเป็นต้นไป อัตราการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือจะเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ที่คนทำงานอาจไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อสินค้าออนไลน์ ฉะนั้น จะเห็นว่าช่องทาง M-Commerce เป็นช่องทางเสริมของการซื้อ-ขายออนไลน์ และเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ผู้ประกอบการ E-Commerce ในเมืองไทยจึงควรหันมามองและวางแผนในการใช้ช่องทางนี้เช่นกัน
ถึงแม้ในขณะนี้ จำนวนเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ที่รองรับรูปแบบบนมือถือในประเทศไทยจะยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่ภาวุธเชื่อว่าในปี 2556 นี้ ผู้ประกอบการ E-Commerce หลายรายน่าจะเริ่มมีการขยับขยาย พัฒนารูปแบบเว็บไซต์ให้รองรับ Version บนมือถือมากขึ้น
โดยจากการรีเสิร์ชพบว่า เว็บไซต์ซื้อ-ขายออนไลน์ที่เป็น E-Commerce หรือ M-Commerce ก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะเป็นการซื้อ-ขายผ่าน Mobile Version หรือเว็บไซต์ที่เป็นด้าน Mobile มากกว่าเป็น Application ด้วยตัวแอพพลิเคชั่นค่อนข้างมีข้อจำกัด ยุ่งยาก เพราะต้องทำให้คนโหลดแอพพลิเคชั่นนั้นเสียก่อน ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราการเปิดแอพพลิเคชั่นใหม่สูงถึง 20 แอพฯ ต่อเดือน แต่คนที่ใช้จริงเพียงแค่ 4-5 แอพฯ เท่านั้น จึงจะมีแอพฯ อีกเกือบ 15 แอพฯ ที่โหลดมาโดยไม่ได้ใช้ และแอพฯ ใน E-Commerce คือส่วนหนึ่งในนั้น
ฉะนั้น การที่ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซใช้แอพพลิเคชั่นในการขายสินค้าจึงเป็นการสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเอง และสร้างขั้นตอนที่ยุ่งยากให้กับผู้ใช้มากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์หันไปทำ M-Commerce โดยพัฒนาช่องทางการขายผ่าน Mobile Version เพราะการใช้งานจะสะดวกและรวดเร็วมากกว่า ซึ่งวิธีการแปลงเว็บไซต์ร้านค้าให้มาอยู่บนมือถือนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจเช็กได้ว่า หากมีผู้บริโภคใช้โทรศัพท์มือถือเข้ามาทำการซื้อ-ขายออนไลน์ ระบบก็จะดึงหน้าเว็บไซต์ที่แสดงบนมือถือให้เลย ในขณะเดียวกันหากใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาก็จะเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นหน้าเว็บไซต์ปกติให้ทันที ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นที่เราต้องนำมาใช้พัฒนาเพื่อให้รองรับกับระบบมือถือมากขึ้น
ส่วนในแง่การทำการตลาดออนไลน์ระหว่าง E-Commerce และ M-Commerce นั้นจะแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น การทำ SEO การปรับแต่งบน Search Engine ก็จะมีความแตกต่าง เนื่องจากการค้นหาสินค้าในมือถือจะมีการนำตำแหน่งของคน ณ ขณะนั้นเข้ามาร่วมวิเคราะห์ร่วมในการค้นหาผลลัพธ์ การปรับแต่งหรือให้น้ำหนักของการตลาดจึงจะต้องมีมิติและชั้นเชิงมากขึ้น เช่น การทำตลาดในกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการทางมือถือ ก็ต้องปรับให้เข้ากับอุปกรณ์ IT หรือ Device ต่างๆ เช่น การส่งอีเมลใหญ่ๆ อาจจะไม่ค่อยเวิร์ก ต้องปรับเป็นรูปแบบอีเมลที่ทำสำหรับใช้บนมือถือโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ ข้อจำกัดของ M-Commerce ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาต่างๆ จะมีสกรีนไซส์หรือขนาดหน้าจอที่เล็ก การนำเสนอข้อมูลสินค้าต่างๆ อาจจะทำไม่ได้ครบถ้วนเต็มที่เหมือนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรม Flash Player หรือไฟล์วิดีโอต่างๆ นั้นจะมีข้อจำกัดในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการ M-Commerce วางแผนดีๆ ก็สามารถปรับแต่งหน้าตาร้านค้าออนไลน์ให้รองรับตรงจุดนี้ได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ E-Commerce ในยุคนี้ จึงควรเริ่มสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบที่รองรับสำหรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Site) และคิดกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้น นอกเหนือจากทางการใช้เว็บไซต์ปกติ แต่ก็มีข้อควรระวังก่อนที่จะทำการตลาดหรือทำการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางนี้ เพราะการซื้อ-ขายออนไลน์ผ่านทางมือถือ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ฉะนั้น จึงต้องเตรียมรับมือกับลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญคือ พฤติกรรมของตัวผู้ประกอบการ E-Commerce เองก็ต้องปรับให้ทันกับระบบ M-Commerce เพราะบางรายยังไม่ปรับมาใช้อินเทอร์เน็ตผ่านทางโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ หากผู้ขายยังไม่เริ่มต้นใช้ ก็ไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างแท้จริง


cloud computing ระบบคอมพิวเตอร์เหนือเมฆ













Cloud Computing เกิดจากการแทนสัญลักษณ์อินเตอร์เน็ตด้วยรูปก้อนเมฆ  คำว่าก้อนเมฆก็ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Cloud ดังนั้นเมื่อเกิดระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานบนอินเตอร์เน็ตจึงเทียบเคียงได้เหมือนกับการทำงานบนก้อนเมฆ และผู้ที่เรียกคำนี้เป็นคนแรกก็ไม่ใช่ใครอื่นใดนั่นก็คือ อีริค ชมิดท์ ซีอีโอของ google นั่นเอง
    หากจะอธิบายกระบวนการของ Cloud Computing ให้ง่ายที่สุดมันก็เหมือนกับการฝากขายสินค้าในเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ผู้ผลิตไม่ต้องมีหน้าร้านค้าเอง ไม่ต้องมีระบบส่งของ แต่จะมีมืออาชีพมาจัดการด้านการขายและกระจายสินค้าให้ได้เป็นอย่างดี โดยคิดค่าบริการตามความเหมาะสม   ระบบ Cloud Computing ก็เช่นเดียวกันที่ผู้ผลิตไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน แต่เป็นการใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่จัดการให้เสร็จสรรพ ตัวอย่างผู้ให้บริการ Cloud Computing ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Amazon EC2 ที่เปรียบเป็นเหมือนบริการ server สำหรับทำงานและประมวลผลข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต  ผู้ใช้เพียงแค่อัพโหลดข้อมูลฮาร์ดดิสก์ทั้งลูกที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการให้เรียบร้อยขึ้นสู่ server ของ amazon ระบบ Cloud Computing ก็จะประมวลผลข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ลูกนั้น พร้อมมีช่องทางอินเตอร์เน็ตให้ครบครัน ผู้ใช้บริการไม่ต้องซื้อ server หรือ จ้างวิศวกรมาดูแล เพียงแค่ จ่ายค่าบริการให้ Amazon ตามอัตราการใช้งาน เช่น เวลาในการประมวลผลบน CPU หรือจำนวนข้อมูลรับส่ง แล้วหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบสำรองข้อมูลไม่ให้ล่มก็เป็นหน้าที่ของ Amazon เราโยนงานที่ไม่เก่งให้ผู้เชี่ยวชาญดูแล
    ถึงตรงนี้บางคนก็สงสัยว่าแล้วมันต่างกับการเช่า server อย่างไร คำตอบคือ Cloud Computing นั้นไม่ได้ทำงานบนเครื่องเดียวเหมือนกับการเช่า server แต่เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันคล้ายๆกับ Grid Computing ข้อดีของระบบ Cloud Computing จึงเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง  สามารถรับภาระการทำงานหนักๆได้ ยกตัวอย่างเว็บ Twitter มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก ถ้าใช้ server ของตัวเองคงจะมีปัญหาว่าต้องใช้ server เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม เพราะจำนวนผู้ใช้มีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่ถ้าใช้ระบบ Cloud Computing จะไม่เป็นปัญหา สามารถกระจายการทำงานไปยัง server อื่นๆโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลว่า server จะล่มเมื่อมีผู้ใช้บริการมาก
    ในปัจจุบันนอกจาก Amazon EC2 ผู้ให้บริการระบบ Cloud Computing อื่นก็มี เช่น Amazon S3, Google App Engine, Window Azure และ Salesforce.com ระบบ Cloud Computing จึงมีประโยชน์ในแง่ธุรกิจ เพราะลดความเสี่ยงจากความเสียหายในสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ผู้ใช้ตามบ้านเองก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ยกตัวอย่างโปรแกรม Panda Cloud Antivirus ที่ไม่ต้องคอยอัพเดตตลอด เนื่องจากนำข้อมูลไปทำงานบน server จึงได้รับการป้องกันจากขุมพลัง Cloud Computing อยู่เบื้องหลัง  ซึ่งมีแนวโน้มว่าบริการโปรแกรมต่างๆ ขึ้นไปอยู่บนอินเตอร์เน็ตและจัดการด้วยระบบ Cloud Computing มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นบริการแต่งภาพ ทำเอกสารบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ราคาแพง คุณสมบัติสูง และไม่ต้องลงโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วที่นี้ใครคิดว่าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นไม่สำคัญก็คงต้องอาจเปลี่ยนใจ  เพราะทุกอย่างกำลังไปอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต


ข้อดีของ Cloud Computing

1) ลดต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษาเนื่องจากค่าบริการได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งาน จริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอัพเกรด และค่าเช่าคู่สาย เป็นต้น

2) ลดความเสี่ยงการเริ่มต้น หรือการทดลองโครงการ

3) สามารถลดหรือขยายได้ตามความต้องการ

4)ได้เครื่องแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพ มีระบบสำรองข้อมูลที่ดี มีเครือข่ายความเร็วสูง

5) อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ


ข้อเสียของ Cloud Computing

1) จากการที่มีทรัพยากรที่มาจากหลายแห่ง จึงอาจเกิดปัญหาด้านความต่อเนื่องและความรวดเร็ว

2) ยังไม่มีการรับประกันในการทำงานอย่างต่อเนื่องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล

3) แพลทฟอร์มยังไม่ได้มาตรฐาน  ทำให้ลูกค้ามีข้อจำกัดสำหรับตัวเลือกในการพัฒนาหรือติดตั้งระบบ site

4) เนื่อง จากเป็นการใช้ทรัพยากรที่มาจากหลายที่หลายแห่งทำให้อาจมีปัญหาในเรื่องของ ความต่อเนื่องและความเร็วในการเข้าทรัพยากรมากกว่าการใช้บริการHost ที่ Local หรืออยู่ภายในองค์การของเราเอง

RIFD

บริษัทไทยบริติชซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด (มหาชน)





เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ระบุข้อมูลที่เป็นเฉพาะตัว ของบุคคล สัตว์ สิ่งของ หรือสินค้าต่างๆ โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ เพื่อวัตถุประสงค์สามารถอ่านได้จากระยะทางไกล, สามารถรับ-ส่ง ข้อมูลด้วยความเร็วสูงโดยไม่ขึ้นกับทัศนวิสัย และไม่ต้องสัมผัสกับอุปกรณ์บ่งชี้นั้น ปัจจุบันนำมาใช้ เป็นบัตรเงินสด บัตรประจำตัวพนักงาน บัตรโดยสาร ป้ายสำหรับติดสินค้า

บริษัทมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบที่ใช้กับเทคโนโลยี RFID พร้อมทั้งสามารถจัดหาอุปกรณ์ (Hardware) ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานประเภทต่างๆได้ เช่น ระบบบัตรสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ที่เป็นกระเป๋าเงินอีเลคโทรนิคส์ หรือ E-Purse ระบบผ่านเข้าออก ระบบชำระเงิน ระบบส่งเสริมการขายต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่หลายแห่งและบริษัทต่างๆ ใช้งานระบบที่พัฒนาโดย TBSP


องค์ประกอบของระบบที่ใช้งาน RFID
1. Tag/Transponders ใช้ติดกับวัตถุต่างๆ ที่เราต้องการการบ่งชี้ เช่นบัตร, ป้าย, กุญแจ และอื่นๆ
2. Interrogator/Reader เครื่องอ่าน Tag
3. ระบบการทำงาน ประกอบด้วย Hardware และ Software ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานนั้นๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์, ระบบข้อมูลสินค้า


บริษัท โอ จี เอ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด


RFID (Radio-Frequency  identification) เป็นการเก็บข้อมูล โดยการทำงานผ่านการรับสัญญาณจากแท็กเข้าสู่ตัว RFID Readers
ซึ่ง เมื่อ RFID Readers ส่งคลื่นวิทยุไป และเจอแท็กนี้ สัญญาณจะถูกส่งกลับ พร้อมกับข้อมูลที่เก็บไว้ในแท็ก เข้ามาในเครื่อง RFID Readers ซึ่ง การเก็บข้อมูล โดยระบบ RFID นั้น  เหมาะสมกับงานที่ต้องการความรวดเร็ว






































Bar code


บาร์โค้ด คือ เครื่องหมายแทนข้อมูลที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้ โดยเริ่มแรกมีลักษณะรูปแบบเป็นแท่ง หรือเส้นขนานหลายๆ เส้นใน 1 มิติที่มีความหนาต่างกันเรียงต่อกัน ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตจะถูกติดบาร์โค้ดไว้และจะถูกอ่านค่าด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ด ณ จุดชำระเงิน เพื่อคิดเงินสินค้านั้นๆ
QR code


เนื่องจากข้อจำกัดของบาร์โค้ดแบบแท่ง ซึ่งเก็บค่าตัวเลขหรือตัวอักษรได้ค่อนข้างจำกัด จึงมีการพัฒนา บาร์โค้ด 2 มิติ ขึ้นมาเพื่อรองรับกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น QR code เป็นหนึ่งในบาร์โค้ด 2 มิติที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน โดยนำมาใช้เก็บข้อมูล URL ที่อยู่เว็บไซต์, ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลตัวอักษรต่างๆ


วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แผนการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ Chester Grill

แผนการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ Chester Grill











การทำวิจัยการตลาด
-ผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมการตลาดของร้านในแต่ละทำเล


การกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด

- กลุ่มเป้าหมายของร้าน เชสเตอร์ คือ กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน และกลุ่มครอบครัว ที่ชื่นชอบอาหารรสชาติเยี่ยมและมีคุณค่าสูง ทางบริษัทจะจัดทำแผนการตลาดและส่งเสริมการขายประจำปี ด้วยสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ

การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
-เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว  เชสเตอร์ ในทุกที่ที่เปิดร้าน ด้วยฐานของลูกค้าที่เหนียวแน่นนี้  เป็นหลักประกันที่แสดงถึงกำลังซื้อจำนวนมหาศาล มีอาหารเป็นที่ชื่นชอบด้วยรสชาติหลากหลายถูกปากคนไทย โดยครองใจลูกค้าทั่วประเทศมานานกว่า 25 ปี และได้รับการยอมรับจากลูกค้า ในคุณภาพ และบริการ

การกำหนดราคา
-เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำตัวสินค้า ผ่านราคาจำหน่ายเริ่มต้นด้วยเบอร์เกอร์ไก่ เพียง 30 บาท เบอร์เกอร์ปลา 35 บาท และ เบอร์เกอร์กุ้ง 39 บาท โดยคาดว่า ภายหลังการเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “เบอร์เด็ด” จะทำให้สัดส่วนยอดขายกลุ่มเบอร์เกอร์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 9% ของยอดขายรวม เพิ่มเป็น 15% ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากเริ่มออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่
 เพื่อดึงลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านเท่านั้น ไม่ได้หวังที่จะเข้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดเจ้าอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชสเตอร์ กริลล์ มีความชัดเจนว่า กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะสั่งอาหารประเภทข้าว หรือไก่ย่าง ประกอบกับเมนูเบอร์เกอร์ถือว่าตอบสนองความคุ้มค่าทางด้านราคาได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยอดขายหลัก 30% ยังคงมาจากเมนูข้าว อาทิ ข้าวอบไก่ย่าง ข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ และข้าวไก่ย่างน้ำตก เป็นต้น อีก 20% มาจากเมนูไก่ย่าง ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มอาหารจานเดียว เช่น สปาเก็ตตี้ โกลเด้นฟิช รวมทั้งกลุ่มสแน็ค และเครื่องดื่ม


การจัดช่องทางจำหน่าย
-ที่ เชสเตอร์กริลล์ เดลิเวอรี่ สั่งผ่านเบอร์ 1145 หรือ สั่งออนไลน์ www.chesters.co.th 

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัดที่ 8


1. ยกตัวอย่างการใช้การพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในธุรกิจบริการมา 5 ประเภท อธิบายมาพอสังเขป
   1)ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นธุรกิจธนาคารที่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อให้บริการด้ารธุรกรรมทางการเงินแก่ลูกค้าผ่านระบบออนไลน์ เช่น บริการโอนเงิน ตรวจสอบยอกเงิน การลงทุน การเติมเงินผ่านมือถือและการยื่นเอกสารเพื่อขอสินเชื่อ เป็นต้น
   2)การชำระเงินออนไลน์ เป็นบริการด้านการเงินอีกรูปแบบหนึ่งผ่านนทางเว็บไซต์ที่กำลังได้รับความนิยม เช่น ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจแฟรนไชส์ หรือแม้แต่สถาบันการศึกษา
   3)บริการตลาดนัดแรงงาน เป็นธุรกิจจัดหางาน โดนธุรกิจนี้จะเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อให้ผู้สมัครงาน สามารถ่สงประวัติค้าหาและสมัครงานในตำแหน่งบริษัทหรือประเทศที่ตนต้องการได้
   4)บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวออนไลน์ เป็นธุรกิจให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางและการท่องเที่ยว ซึ่งในบางเว็บไซต์ยังรวมถึงการให้บริการข้อมูลที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร เส้นทางการเดินรถ การจองตั๋วเครื่องบิน และบริการวางแผนท่วงเที่ยว
   5)ชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสถานที่ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่รวบรวมข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ และอนุญาตให้ผู้ที่สนใจในเรื่องนั้นเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้

2. จงบอกข้อดีของการตลาดนัดแรงงานด้านผู้ประกอบการและผู้บริโภคมาอย่างน้อยละ 3 ข้อ
   ด้านผู้ประกอบการ 1)สามารถลงประกาศรับสมัครงานได้สะดวกรวดเร็วและยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง
                              2)ประหยัดค่าใช้จ่ายในการประกาศรับสมัครงานเมื่อเปรียบเทียบกับการโฆษณาแบบเดิม
                              3)สามารถนำแบบฟอร์มสมัครงานฝากไว้กับเว็บไซต์ตลาดนัดแรงงานอิเล็กทรอนอกส์ได้โดยผู้สมัครเพียงแต่ดาวโหลดไปใช้งานทำให้ประหยัดต้นทุนและเวลา
          ด้านผู้บริโภค 1)สามารถค้าหาข้อมูลตำแหน่งงานว่างที่ตนสนใจได้อย่างทั่วถึง
                             2)สามารถติดต่อกับผู้ประกอบการได้โดยตรงและรวดเร็ว
                             3) สามารถสมัครงานได้โดยไม่ต้องเดินทางไปยังที่ทำการจึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

3. จงบอกข้อดีของการบริการการเดินทางและการท่องเที่ยวออนไลน์ พร้อมยกตัวอย่างเว็ปไซต์ที่ให้บริการการท่องเที่ยวแบบออนไลน์ที่ผู้เรียนสนใจ 3 ตัวอย่าง
ข้อดีของเว็บไซต์บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวคือ สามารถทำให้ผู้เดินทางสะดวกในการตั้งเป้าหมายในการเดินทาง การหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม รถเช่า เป็นต้น
เว็บไซต์
https://www.skyscanner.co.th/
http://www.trekkingthai.com/wordpress/
http://www.sadoodta.com/

4. จงยกตัวอย่างบริการสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ (Online Publishing) มา 3 เว็ปไซต์ ให้อธิบายข้อดีและข้อเสียของเว็ปไซต์ที่ให้บริการ สื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ดังกล่าวพร้อม capture หน้าเว็ปในการประกอบการอธิบาย
http://www.komchadluek.net/
http://www.thaipost.net
http://www.siamrath.co.th













ข้อดี ทำให้รู้ทันข่าวสารที่เกิดขึ้นในสังคมเท่าทันเหตุการณ์โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อหนังสือพิมพ์ตามท้องตลาดแต่ในเว็บก็มีข้อมูลข่าวสาร
ข้อเสีย ข้อมูลข่าวสารอาจจะไม่ละเอียดครบถ้วนเจาะลึกมากเป็นเหมือนการสรุปมาจากหนังสือพิมพ์อีกที


5. ให้ผู้เรียนเข้าใช้บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวออนไลน์(Travel and Tourism Service Online) จากเว็ปไซต์ใดๆ ที่ให้บริการการเดินทางและการท่องเที่ยว โดยสรุปรายละเอียดเครื่องมือต่างๆ ที่เว็บไซต์นำเสนอ ประโยชน์ที่ผู้เรียนได้รับจากการเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์ดังกล่าว
    เว็บ https://www.skyscanner.co.th/ โดยเว็บไซต์นี้จะทำการหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และรถ ให้กับนักท่องเที่ยว มีเครื่องมืออยู่ 3 เครื่องมือหลัก คือ Flights  Hotels  Car Hire เครื่องมือ Flights จะทำการหาตั๋วเครื่องบินให้กับผู้ใช้บริการโดยสามารถใส่วันที่และเวลาได้ เครื่องมือ Hotels เป็นเครื่องมื่อที่จะหาห้องพักโรงแรมให้กับผู้ใช้บริการ สามารถเลือก ได้ว่าจะจองวันไหนที่ไหน เครื่องมือ Car Hire คื่อเครื่องมื่อที่ช่วยในการหารถเช่าให้กับผู้ใช้บริการ สถานที่ที่เปิดให้เช่ารถ เป็นต้น


6. สิ่งที่ผู้ประมูลออนไลน์ต้องจัดเตรียมในการใช้บริการการประมูลออนไลน์คืออะไรบ้าง
สิ่งที่ผู้ประมูลจะต้องจัดเตรียมมาในการประมูลออนไลน์คือ ชื่อและข้อมูลทางการเงินของผู้เข้าประมูลเช่นบัญชีธนาคาร พร้อมทั้งความรู้ในการประมูลสินค้าซึ่งสามารถหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ

7. จงอธิบายข้อแตกต่างของการประมูลแบบ English Auctions และ Traditional Dutch Auctions
 -English Auctions การประมูลแบบเปิด รายการเดียวสำหรับการขายจากผู้ขาย เพียงคนเดียว ผู้ซื้อหลายๆรายเสนอราคาที่เพิ่มสู้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีผู้ซื้อรายใดเสนอราคาที่สูงกว่านี้
Traditional Dutch Auctions ผู้ขายสินค้าหลายรายการที่ขายเป็นจำนวนมากมีราคาและเวลาเริ่มต้น สำหรับการเปิดประมูลของการเสนอราคา โดยเสนอราคาเริ่มต้นการประมูลที่สูงมาก เมื่อการประมูลราคาผ่านไปราคาแต่ละของสินค้าที่ร่วมประมูลจะลดลงจนกระทั่งถึงราคาที่ผู้ซื้อพอใจและเสนอซื้อในราคานั้นๆ

8.ยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่เป็นชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Community: e-Community)
Facebook.com
Google+
pantip