วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สรุปบทที่ 10

M-Commerce ในอนาคตสามาทำอะไรได้บ้าง
















หากพูดถึง E-Commerce หรือการค้าออนไลน์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ช่องทางหนึ่งที่น่าจับตามองคือกระแสการเติบโตของการค้าบนมือถือ หรือที่เรียกกันว่า M-Commerce (Mobile Commerce) จากตัวเลขประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการใช้งาน 3G ที่จะเปิดให้ใช้งานจริงมากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น แท็บเล็ตและโทรศัพท์มือถือมีจำนวนมากและราคาถูกลง ก็ยิ่งทำให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์พกพามากขึ้น
การช้อปปิ้งสินค้าผ่านทางอุปกรณ์พกพาอย่างโทรศัพท์มือถือ จึงกลายเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไม่อาจมองข้าม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดดอทคอม จำกัด เปิดเผยตัวเลขว่า เวลานี้มีผู้เข้าเว็บไซต์ตลาดดอทคอมโดยใช้อุปกรณ์พกพาหรือโทรศัพท์มือถือสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ทั้งหมด โดยยอดขายสินค้ากว่า 11 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการซื้อ-ขายผ่านอุปกรณ์พกพา สะท้อนให้เห็นว่า โอกาสทางการค้าของ M-Commerce ในเมืองไทยมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ผู้บริหารเว็บไซต์ที่เป็นต้นแบบของการทำธุรกิจ E-Commerce ในเมืองไทยวิเคราะห์ว่า M-Commerce จะเป็นช่องทางที่ช่วยเสริมทำให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นได้ โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนที่ซื้อสินค้าในเว็บไซต์ตลาดดอทคอมในช่วงเวลาปกติ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นจะเป็นคนที่ซื้อผ่านทางคอมพิวเตอร์ ส่วนช่วงเวลาเที่ยงหรือช่วงหลังหกโมงเย็นเป็นต้นไป อัตราการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือจะเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ที่คนทำงานอาจไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อสินค้าออนไลน์ ฉะนั้น จะเห็นว่าช่องทาง M-Commerce เป็นช่องทางเสริมของการซื้อ-ขายออนไลน์ และเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ผู้ประกอบการ E-Commerce ในเมืองไทยจึงควรหันมามองและวางแผนในการใช้ช่องทางนี้เช่นกัน
ถึงแม้ในขณะนี้ จำนวนเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ที่รองรับรูปแบบบนมือถือในประเทศไทยจะยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่ภาวุธเชื่อว่าในปี 2556 นี้ ผู้ประกอบการ E-Commerce หลายรายน่าจะเริ่มมีการขยับขยาย พัฒนารูปแบบเว็บไซต์ให้รองรับ Version บนมือถือมากขึ้น
โดยจากการรีเสิร์ชพบว่า เว็บไซต์ซื้อ-ขายออนไลน์ที่เป็น E-Commerce หรือ M-Commerce ก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะเป็นการซื้อ-ขายผ่าน Mobile Version หรือเว็บไซต์ที่เป็นด้าน Mobile มากกว่าเป็น Application ด้วยตัวแอพพลิเคชั่นค่อนข้างมีข้อจำกัด ยุ่งยาก เพราะต้องทำให้คนโหลดแอพพลิเคชั่นนั้นเสียก่อน ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราการเปิดแอพพลิเคชั่นใหม่สูงถึง 20 แอพฯ ต่อเดือน แต่คนที่ใช้จริงเพียงแค่ 4-5 แอพฯ เท่านั้น จึงจะมีแอพฯ อีกเกือบ 15 แอพฯ ที่โหลดมาโดยไม่ได้ใช้ และแอพฯ ใน E-Commerce คือส่วนหนึ่งในนั้น
ฉะนั้น การที่ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซใช้แอพพลิเคชั่นในการขายสินค้าจึงเป็นการสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเอง และสร้างขั้นตอนที่ยุ่งยากให้กับผู้ใช้มากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์หันไปทำ M-Commerce โดยพัฒนาช่องทางการขายผ่าน Mobile Version เพราะการใช้งานจะสะดวกและรวดเร็วมากกว่า ซึ่งวิธีการแปลงเว็บไซต์ร้านค้าให้มาอยู่บนมือถือนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจเช็กได้ว่า หากมีผู้บริโภคใช้โทรศัพท์มือถือเข้ามาทำการซื้อ-ขายออนไลน์ ระบบก็จะดึงหน้าเว็บไซต์ที่แสดงบนมือถือให้เลย ในขณะเดียวกันหากใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาก็จะเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นหน้าเว็บไซต์ปกติให้ทันที ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นที่เราต้องนำมาใช้พัฒนาเพื่อให้รองรับกับระบบมือถือมากขึ้น
ส่วนในแง่การทำการตลาดออนไลน์ระหว่าง E-Commerce และ M-Commerce นั้นจะแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น การทำ SEO การปรับแต่งบน Search Engine ก็จะมีความแตกต่าง เนื่องจากการค้นหาสินค้าในมือถือจะมีการนำตำแหน่งของคน ณ ขณะนั้นเข้ามาร่วมวิเคราะห์ร่วมในการค้นหาผลลัพธ์ การปรับแต่งหรือให้น้ำหนักของการตลาดจึงจะต้องมีมิติและชั้นเชิงมากขึ้น เช่น การทำตลาดในกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการทางมือถือ ก็ต้องปรับให้เข้ากับอุปกรณ์ IT หรือ Device ต่างๆ เช่น การส่งอีเมลใหญ่ๆ อาจจะไม่ค่อยเวิร์ก ต้องปรับเป็นรูปแบบอีเมลที่ทำสำหรับใช้บนมือถือโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ ข้อจำกัดของ M-Commerce ซึ่งเป็นอุปกรณ์พกพาต่างๆ จะมีสกรีนไซส์หรือขนาดหน้าจอที่เล็ก การนำเสนอข้อมูลสินค้าต่างๆ อาจจะทำไม่ได้ครบถ้วนเต็มที่เหมือนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรม Flash Player หรือไฟล์วิดีโอต่างๆ นั้นจะมีข้อจำกัดในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการ M-Commerce วางแผนดีๆ ก็สามารถปรับแต่งหน้าตาร้านค้าออนไลน์ให้รองรับตรงจุดนี้ได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ E-Commerce ในยุคนี้ จึงควรเริ่มสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบที่รองรับสำหรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Site) และคิดกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้น นอกเหนือจากทางการใช้เว็บไซต์ปกติ แต่ก็มีข้อควรระวังก่อนที่จะทำการตลาดหรือทำการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางนี้ เพราะการซื้อ-ขายออนไลน์ผ่านทางมือถือ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ฉะนั้น จึงต้องเตรียมรับมือกับลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน ที่สำคัญคือ พฤติกรรมของตัวผู้ประกอบการ E-Commerce เองก็ต้องปรับให้ทันกับระบบ M-Commerce เพราะบางรายยังไม่ปรับมาใช้อินเทอร์เน็ตผ่านทางโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ หากผู้ขายยังไม่เริ่มต้นใช้ ก็ไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างแท้จริง


cloud computing ระบบคอมพิวเตอร์เหนือเมฆ













Cloud Computing เกิดจากการแทนสัญลักษณ์อินเตอร์เน็ตด้วยรูปก้อนเมฆ  คำว่าก้อนเมฆก็ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Cloud ดังนั้นเมื่อเกิดระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานบนอินเตอร์เน็ตจึงเทียบเคียงได้เหมือนกับการทำงานบนก้อนเมฆ และผู้ที่เรียกคำนี้เป็นคนแรกก็ไม่ใช่ใครอื่นใดนั่นก็คือ อีริค ชมิดท์ ซีอีโอของ google นั่นเอง
    หากจะอธิบายกระบวนการของ Cloud Computing ให้ง่ายที่สุดมันก็เหมือนกับการฝากขายสินค้าในเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ผู้ผลิตไม่ต้องมีหน้าร้านค้าเอง ไม่ต้องมีระบบส่งของ แต่จะมีมืออาชีพมาจัดการด้านการขายและกระจายสินค้าให้ได้เป็นอย่างดี โดยคิดค่าบริการตามความเหมาะสม   ระบบ Cloud Computing ก็เช่นเดียวกันที่ผู้ผลิตไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน แต่เป็นการใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่จัดการให้เสร็จสรรพ ตัวอย่างผู้ให้บริการ Cloud Computing ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Amazon EC2 ที่เปรียบเป็นเหมือนบริการ server สำหรับทำงานและประมวลผลข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต  ผู้ใช้เพียงแค่อัพโหลดข้อมูลฮาร์ดดิสก์ทั้งลูกที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการให้เรียบร้อยขึ้นสู่ server ของ amazon ระบบ Cloud Computing ก็จะประมวลผลข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ลูกนั้น พร้อมมีช่องทางอินเตอร์เน็ตให้ครบครัน ผู้ใช้บริการไม่ต้องซื้อ server หรือ จ้างวิศวกรมาดูแล เพียงแค่ จ่ายค่าบริการให้ Amazon ตามอัตราการใช้งาน เช่น เวลาในการประมวลผลบน CPU หรือจำนวนข้อมูลรับส่ง แล้วหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบสำรองข้อมูลไม่ให้ล่มก็เป็นหน้าที่ของ Amazon เราโยนงานที่ไม่เก่งให้ผู้เชี่ยวชาญดูแล
    ถึงตรงนี้บางคนก็สงสัยว่าแล้วมันต่างกับการเช่า server อย่างไร คำตอบคือ Cloud Computing นั้นไม่ได้ทำงานบนเครื่องเดียวเหมือนกับการเช่า server แต่เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันคล้ายๆกับ Grid Computing ข้อดีของระบบ Cloud Computing จึงเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง  สามารถรับภาระการทำงานหนักๆได้ ยกตัวอย่างเว็บ Twitter มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก ถ้าใช้ server ของตัวเองคงจะมีปัญหาว่าต้องใช้ server เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม เพราะจำนวนผู้ใช้มีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่ถ้าใช้ระบบ Cloud Computing จะไม่เป็นปัญหา สามารถกระจายการทำงานไปยัง server อื่นๆโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลว่า server จะล่มเมื่อมีผู้ใช้บริการมาก
    ในปัจจุบันนอกจาก Amazon EC2 ผู้ให้บริการระบบ Cloud Computing อื่นก็มี เช่น Amazon S3, Google App Engine, Window Azure และ Salesforce.com ระบบ Cloud Computing จึงมีประโยชน์ในแง่ธุรกิจ เพราะลดความเสี่ยงจากความเสียหายในสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ผู้ใช้ตามบ้านเองก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ยกตัวอย่างโปรแกรม Panda Cloud Antivirus ที่ไม่ต้องคอยอัพเดตตลอด เนื่องจากนำข้อมูลไปทำงานบน server จึงได้รับการป้องกันจากขุมพลัง Cloud Computing อยู่เบื้องหลัง  ซึ่งมีแนวโน้มว่าบริการโปรแกรมต่างๆ ขึ้นไปอยู่บนอินเตอร์เน็ตและจัดการด้วยระบบ Cloud Computing มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นบริการแต่งภาพ ทำเอกสารบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ราคาแพง คุณสมบัติสูง และไม่ต้องลงโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วที่นี้ใครคิดว่าอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นไม่สำคัญก็คงต้องอาจเปลี่ยนใจ  เพราะทุกอย่างกำลังไปอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต


ข้อดีของ Cloud Computing

1) ลดต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษาเนื่องจากค่าบริการได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งาน จริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอัพเกรด และค่าเช่าคู่สาย เป็นต้น

2) ลดความเสี่ยงการเริ่มต้น หรือการทดลองโครงการ

3) สามารถลดหรือขยายได้ตามความต้องการ

4)ได้เครื่องแม่ข่ายที่มีประสิทธิภาพ มีระบบสำรองข้อมูลที่ดี มีเครือข่ายความเร็วสูง

5) อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ


ข้อเสียของ Cloud Computing

1) จากการที่มีทรัพยากรที่มาจากหลายแห่ง จึงอาจเกิดปัญหาด้านความต่อเนื่องและความรวดเร็ว

2) ยังไม่มีการรับประกันในการทำงานอย่างต่อเนื่องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล

3) แพลทฟอร์มยังไม่ได้มาตรฐาน  ทำให้ลูกค้ามีข้อจำกัดสำหรับตัวเลือกในการพัฒนาหรือติดตั้งระบบ site

4) เนื่อง จากเป็นการใช้ทรัพยากรที่มาจากหลายที่หลายแห่งทำให้อาจมีปัญหาในเรื่องของ ความต่อเนื่องและความเร็วในการเข้าทรัพยากรมากกว่าการใช้บริการHost ที่ Local หรืออยู่ภายในองค์การของเราเอง

RIFD

บริษัทไทยบริติชซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด (มหาชน)





เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ระบุข้อมูลที่เป็นเฉพาะตัว ของบุคคล สัตว์ สิ่งของ หรือสินค้าต่างๆ โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ เพื่อวัตถุประสงค์สามารถอ่านได้จากระยะทางไกล, สามารถรับ-ส่ง ข้อมูลด้วยความเร็วสูงโดยไม่ขึ้นกับทัศนวิสัย และไม่ต้องสัมผัสกับอุปกรณ์บ่งชี้นั้น ปัจจุบันนำมาใช้ เป็นบัตรเงินสด บัตรประจำตัวพนักงาน บัตรโดยสาร ป้ายสำหรับติดสินค้า

บริษัทมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบที่ใช้กับเทคโนโลยี RFID พร้อมทั้งสามารถจัดหาอุปกรณ์ (Hardware) ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานประเภทต่างๆได้ เช่น ระบบบัตรสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ที่เป็นกระเป๋าเงินอีเลคโทรนิคส์ หรือ E-Purse ระบบผ่านเข้าออก ระบบชำระเงิน ระบบส่งเสริมการขายต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่หลายแห่งและบริษัทต่างๆ ใช้งานระบบที่พัฒนาโดย TBSP


องค์ประกอบของระบบที่ใช้งาน RFID
1. Tag/Transponders ใช้ติดกับวัตถุต่างๆ ที่เราต้องการการบ่งชี้ เช่นบัตร, ป้าย, กุญแจ และอื่นๆ
2. Interrogator/Reader เครื่องอ่าน Tag
3. ระบบการทำงาน ประกอบด้วย Hardware และ Software ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานนั้นๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์, ระบบข้อมูลสินค้า


บริษัท โอ จี เอ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด


RFID (Radio-Frequency  identification) เป็นการเก็บข้อมูล โดยการทำงานผ่านการรับสัญญาณจากแท็กเข้าสู่ตัว RFID Readers
ซึ่ง เมื่อ RFID Readers ส่งคลื่นวิทยุไป และเจอแท็กนี้ สัญญาณจะถูกส่งกลับ พร้อมกับข้อมูลที่เก็บไว้ในแท็ก เข้ามาในเครื่อง RFID Readers ซึ่ง การเก็บข้อมูล โดยระบบ RFID นั้น  เหมาะสมกับงานที่ต้องการความรวดเร็ว






































Bar code


บาร์โค้ด คือ เครื่องหมายแทนข้อมูลที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้ โดยเริ่มแรกมีลักษณะรูปแบบเป็นแท่ง หรือเส้นขนานหลายๆ เส้นใน 1 มิติที่มีความหนาต่างกันเรียงต่อกัน ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตจะถูกติดบาร์โค้ดไว้และจะถูกอ่านค่าด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ด ณ จุดชำระเงิน เพื่อคิดเงินสินค้านั้นๆ
QR code


เนื่องจากข้อจำกัดของบาร์โค้ดแบบแท่ง ซึ่งเก็บค่าตัวเลขหรือตัวอักษรได้ค่อนข้างจำกัด จึงมีการพัฒนา บาร์โค้ด 2 มิติ ขึ้นมาเพื่อรองรับกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น QR code เป็นหนึ่งในบาร์โค้ด 2 มิติที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน โดยนำมาใช้เก็บข้อมูล URL ที่อยู่เว็บไซต์, ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลตัวอักษรต่างๆ


วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แผนการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ Chester Grill

แผนการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ Chester Grill











การทำวิจัยการตลาด
-ผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะได้รับการสนับสนุนด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมการตลาดของร้านในแต่ละทำเล


การกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด

- กลุ่มเป้าหมายของร้าน เชสเตอร์ คือ กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน และกลุ่มครอบครัว ที่ชื่นชอบอาหารรสชาติเยี่ยมและมีคุณค่าสูง ทางบริษัทจะจัดทำแผนการตลาดและส่งเสริมการขายประจำปี ด้วยสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ

การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
-เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว  เชสเตอร์ ในทุกที่ที่เปิดร้าน ด้วยฐานของลูกค้าที่เหนียวแน่นนี้  เป็นหลักประกันที่แสดงถึงกำลังซื้อจำนวนมหาศาล มีอาหารเป็นที่ชื่นชอบด้วยรสชาติหลากหลายถูกปากคนไทย โดยครองใจลูกค้าทั่วประเทศมานานกว่า 25 ปี และได้รับการยอมรับจากลูกค้า ในคุณภาพ และบริการ

การกำหนดราคา
-เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำตัวสินค้า ผ่านราคาจำหน่ายเริ่มต้นด้วยเบอร์เกอร์ไก่ เพียง 30 บาท เบอร์เกอร์ปลา 35 บาท และ เบอร์เกอร์กุ้ง 39 บาท โดยคาดว่า ภายหลังการเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “เบอร์เด็ด” จะทำให้สัดส่วนยอดขายกลุ่มเบอร์เกอร์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 9% ของยอดขายรวม เพิ่มเป็น 15% ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากเริ่มออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่
 เพื่อดึงลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านเท่านั้น ไม่ได้หวังที่จะเข้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดเจ้าอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชสเตอร์ กริลล์ มีความชัดเจนว่า กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะสั่งอาหารประเภทข้าว หรือไก่ย่าง ประกอบกับเมนูเบอร์เกอร์ถือว่าตอบสนองความคุ้มค่าทางด้านราคาได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันยอดขายหลัก 30% ยังคงมาจากเมนูข้าว อาทิ ข้าวอบไก่ย่าง ข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ และข้าวไก่ย่างน้ำตก เป็นต้น อีก 20% มาจากเมนูไก่ย่าง ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มอาหารจานเดียว เช่น สปาเก็ตตี้ โกลเด้นฟิช รวมทั้งกลุ่มสแน็ค และเครื่องดื่ม


การจัดช่องทางจำหน่าย
-ที่ เชสเตอร์กริลล์ เดลิเวอรี่ สั่งผ่านเบอร์ 1145 หรือ สั่งออนไลน์ www.chesters.co.th 

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัดที่ 8


1. ยกตัวอย่างการใช้การพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในธุรกิจบริการมา 5 ประเภท อธิบายมาพอสังเขป
   1)ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นธุรกิจธนาคารที่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อให้บริการด้ารธุรกรรมทางการเงินแก่ลูกค้าผ่านระบบออนไลน์ เช่น บริการโอนเงิน ตรวจสอบยอกเงิน การลงทุน การเติมเงินผ่านมือถือและการยื่นเอกสารเพื่อขอสินเชื่อ เป็นต้น
   2)การชำระเงินออนไลน์ เป็นบริการด้านการเงินอีกรูปแบบหนึ่งผ่านนทางเว็บไซต์ที่กำลังได้รับความนิยม เช่น ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจแฟรนไชส์ หรือแม้แต่สถาบันการศึกษา
   3)บริการตลาดนัดแรงงาน เป็นธุรกิจจัดหางาน โดนธุรกิจนี้จะเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อให้ผู้สมัครงาน สามารถ่สงประวัติค้าหาและสมัครงานในตำแหน่งบริษัทหรือประเทศที่ตนต้องการได้
   4)บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวออนไลน์ เป็นธุรกิจให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางและการท่องเที่ยว ซึ่งในบางเว็บไซต์ยังรวมถึงการให้บริการข้อมูลที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร เส้นทางการเดินรถ การจองตั๋วเครื่องบิน และบริการวางแผนท่วงเที่ยว
   5)ชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสถานที่ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่รวบรวมข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ และอนุญาตให้ผู้ที่สนใจในเรื่องนั้นเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้

2. จงบอกข้อดีของการตลาดนัดแรงงานด้านผู้ประกอบการและผู้บริโภคมาอย่างน้อยละ 3 ข้อ
   ด้านผู้ประกอบการ 1)สามารถลงประกาศรับสมัครงานได้สะดวกรวดเร็วและยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง
                              2)ประหยัดค่าใช้จ่ายในการประกาศรับสมัครงานเมื่อเปรียบเทียบกับการโฆษณาแบบเดิม
                              3)สามารถนำแบบฟอร์มสมัครงานฝากไว้กับเว็บไซต์ตลาดนัดแรงงานอิเล็กทรอนอกส์ได้โดยผู้สมัครเพียงแต่ดาวโหลดไปใช้งานทำให้ประหยัดต้นทุนและเวลา
          ด้านผู้บริโภค 1)สามารถค้าหาข้อมูลตำแหน่งงานว่างที่ตนสนใจได้อย่างทั่วถึง
                             2)สามารถติดต่อกับผู้ประกอบการได้โดยตรงและรวดเร็ว
                             3) สามารถสมัครงานได้โดยไม่ต้องเดินทางไปยังที่ทำการจึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

3. จงบอกข้อดีของการบริการการเดินทางและการท่องเที่ยวออนไลน์ พร้อมยกตัวอย่างเว็ปไซต์ที่ให้บริการการท่องเที่ยวแบบออนไลน์ที่ผู้เรียนสนใจ 3 ตัวอย่าง
ข้อดีของเว็บไซต์บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวคือ สามารถทำให้ผู้เดินทางสะดวกในการตั้งเป้าหมายในการเดินทาง การหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม รถเช่า เป็นต้น
เว็บไซต์
https://www.skyscanner.co.th/
http://www.trekkingthai.com/wordpress/
http://www.sadoodta.com/

4. จงยกตัวอย่างบริการสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ (Online Publishing) มา 3 เว็ปไซต์ ให้อธิบายข้อดีและข้อเสียของเว็ปไซต์ที่ให้บริการ สื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ดังกล่าวพร้อม capture หน้าเว็ปในการประกอบการอธิบาย
http://www.komchadluek.net/
http://www.thaipost.net
http://www.siamrath.co.th













ข้อดี ทำให้รู้ทันข่าวสารที่เกิดขึ้นในสังคมเท่าทันเหตุการณ์โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อหนังสือพิมพ์ตามท้องตลาดแต่ในเว็บก็มีข้อมูลข่าวสาร
ข้อเสีย ข้อมูลข่าวสารอาจจะไม่ละเอียดครบถ้วนเจาะลึกมากเป็นเหมือนการสรุปมาจากหนังสือพิมพ์อีกที


5. ให้ผู้เรียนเข้าใช้บริการการเดินทางและการท่องเที่ยวออนไลน์(Travel and Tourism Service Online) จากเว็ปไซต์ใดๆ ที่ให้บริการการเดินทางและการท่องเที่ยว โดยสรุปรายละเอียดเครื่องมือต่างๆ ที่เว็บไซต์นำเสนอ ประโยชน์ที่ผู้เรียนได้รับจากการเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์ดังกล่าว
    เว็บ https://www.skyscanner.co.th/ โดยเว็บไซต์นี้จะทำการหาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และรถ ให้กับนักท่องเที่ยว มีเครื่องมืออยู่ 3 เครื่องมือหลัก คือ Flights  Hotels  Car Hire เครื่องมือ Flights จะทำการหาตั๋วเครื่องบินให้กับผู้ใช้บริการโดยสามารถใส่วันที่และเวลาได้ เครื่องมือ Hotels เป็นเครื่องมื่อที่จะหาห้องพักโรงแรมให้กับผู้ใช้บริการ สามารถเลือก ได้ว่าจะจองวันไหนที่ไหน เครื่องมือ Car Hire คื่อเครื่องมื่อที่ช่วยในการหารถเช่าให้กับผู้ใช้บริการ สถานที่ที่เปิดให้เช่ารถ เป็นต้น


6. สิ่งที่ผู้ประมูลออนไลน์ต้องจัดเตรียมในการใช้บริการการประมูลออนไลน์คืออะไรบ้าง
สิ่งที่ผู้ประมูลจะต้องจัดเตรียมมาในการประมูลออนไลน์คือ ชื่อและข้อมูลทางการเงินของผู้เข้าประมูลเช่นบัญชีธนาคาร พร้อมทั้งความรู้ในการประมูลสินค้าซึ่งสามารถหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ

7. จงอธิบายข้อแตกต่างของการประมูลแบบ English Auctions และ Traditional Dutch Auctions
 -English Auctions การประมูลแบบเปิด รายการเดียวสำหรับการขายจากผู้ขาย เพียงคนเดียว ผู้ซื้อหลายๆรายเสนอราคาที่เพิ่มสู้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีผู้ซื้อรายใดเสนอราคาที่สูงกว่านี้
Traditional Dutch Auctions ผู้ขายสินค้าหลายรายการที่ขายเป็นจำนวนมากมีราคาและเวลาเริ่มต้น สำหรับการเปิดประมูลของการเสนอราคา โดยเสนอราคาเริ่มต้นการประมูลที่สูงมาก เมื่อการประมูลราคาผ่านไปราคาแต่ละของสินค้าที่ร่วมประมูลจะลดลงจนกระทั่งถึงราคาที่ผู้ซื้อพอใจและเสนอซื้อในราคานั้นๆ

8.ยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่เป็นชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Community: e-Community)
Facebook.com
Google+
pantip

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การบ้าน 19/06/59

จงอธิบายแบบการโฆษณาบนเว็บดังนี้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

1. การโฆษณาผ่านทางแบรนเนอร์
ตอบ ป้ายโฆษณาหรือแบนเนอร์อาจเป็นข้อความสั้น ๆ ภาพเคลื่อนไหว หรือสื่อมัลติมีเดียที่ผสมผสานภาพและเสียงไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าและบริการมากขึ้น โดยเมื่อผู้ชมคลิกที่แบนเนอร์ ก็จะเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของบริษัทที่เป็นเจ้าของสินค้าชนิดนั้น สำหรับขนาดของแบนเนอร์ที่ใช้โฆษณาอาจแตกต่างกัน (ดังรูปที่ 8.2) แต่โดยทั่วไปจะมีความกว้างเท่ากับ 0.5 – 1 นิ้ว และมีความยาวเท่ากับ 5 – 6.25 นิ้ว เช่น ตามเว็บต่างๆที่มีป้ายเล็กๆข้างล่างหรือ มุมต่างๆบนเว็บนั้น









2. การโฆษณาผ่านทางป๊อบอัพ
ตอบ โดยทั่วไป ป๊อปอัพ (Pop-Up) โฆษณาแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
Pop-Up Advertising เป็นโฆษณาที่แยกออกเป็นเว็บบราวเซอร์หน้าต่างใหม่ และจะปรากฏขึ้นพร้อมกับเว็บเพจที่มีโฆษณาสินค้านั้น โดย Pop-Up โฆษณาจะอยู่ด้านบนของเว็บเพจที่ผู้ใช้เรียกทำงานอยู่ (Active Window)
Pop-Under Advertising เป็นโฆษณาที่แยกออกเป็นเว็บบราวเซอร์หน้าต่างใหม่เช่นเดียวกับ Pop-Up แต่จะอยู่ด้านล่างของเว็บเพจที่ผู้ใช้เรียกทำงานอยู่ ดังนั้น ผู้ใช้จะต้องปิดเว็บเพจนั้นเสียก่อน จึงจะเห็นหน้าโฆษณานี้




























3. การโฆษณาผ่านทางอีเมลล์
ตอบ เป็นการแนบข้อมูลสินค้าและบริการของบริษัทไปกับอีเมล์เพื่อส่งไปยังปลายทาง ซึ่งอาจเป็นบุคคลทั่วไป บริษัท หรือจากรายชื่อผู้ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่บันทึกไว้ในฐานข้อมูลของบริษัทก็ได้ นับว่าเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังสะดวก รวดเร็ว สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากพร้อมกันในเวลาเดียวได้ นอกจากนี้ ปัจจุบันการรับส่งอีเมล์ไม่ได้จำกัดอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถรับส่งอีเมล์ไปยังอุปกรณ์พกพา เช่น เครื่อง PDA หรือโทรศัพท์มือถือได้ อีเมล์จึงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการโฆษณาที่มีผู้ให้ความสนใจนำมาใช้งานกันมากขึ้น













4. การโฆษณาผ่านทาง URL
ตอบ เป็นการโฆษณาโดยอาศัยเครื่องมือประเภทเว็บไดเรกทอรีและเสิร์ชเอนจิ้น โดยผู้ใช้บริการจะต้องลงโฆษณากับผู้ให้บริการเหล่านี้ก่อน ซึ่งมีทั้งแบบเสียค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด จากนั้นโปรแกรมก็จะจัดเก็บดัชนีคำศัพท์ และ URL (Universal Resource Locator) ของเว็บไซต์ไว้ในฐานข้อมูล หากมีผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ตรงกับข้อมูลของ URL ใดโปรแกรมก็จะแสดงผลลัพธ์เป็นชื่อ URL ของเว็บไซต์นั้นขึ้นมา ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการประเภทนี้ เช่น www.google.com, www.yahoo.com และ www.altavista.com


















5. การโฆษณาผ่านห้องสนทนาและบล๊อก
ตอบ ห้องสนทนา (Chat Room) เป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง กล่าวคือ คู่สนทนาสามารถโต้ตอบระหว่างกันได้ในเวลาที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้น โดยที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ห้องสนทนาจึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นำมาใช้เป็นช่องทางโฆษณาได้ โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการใช้แบนเนอร์เพื่อโฆษณาบนเว็บเพจทั่วไป กล่าวคือ สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตลอดเวลาที่มีการออนไลน์อยู่ และสามารถย้อนกลับมานำเสนอสินค้าชนิดเดิมกับกลุ่มลูกค้าเดิมซ้ำได้ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ คือต้องใช้เวลาในการสนทนานาน และกลุ่มเป้าหมายที่ได้ค่อนข้างแคบ เช่น Camfrog
















6. การโฆษณาผ่านเกมส์ออนไลน์
ตอบ เป็นการโฆษณา หรือแบนเนอร์ใน Interface ขณะต่างๆให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เป็นการโฆษณาโดยใช้เกม หรือเรียกว่า Advertising Gaming หรือ AdverGame หลักการของ AdverGame ถูกตั้งขึ้นโดย Anthony Giallourakis ในปี 2000 ต่อมาจึงถูกตีพิมพ์ในคอลัมน์ Jargon Watch ในนิตยสาร Wired รายเดือนของสหรัฐอเมริกาในปี 2001 แนวคิดของ Anthony Giallourakis จึงทำให้บริษัทเกมใหญ่ๆหลายแห่งมีแนวคิดในการให้บริการเกมส์ฟรี โดยจะมีรายได้มาจากการโฆษณา เช่น เกมส์ PangYa Online มีโฆษณา Clean&Clear



วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สรุปบทที่ 1 บทบาทการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการธุรกิจ

จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ จะพบว่าธุรกิจมีการแข่งขันสูงมาก ต้องอาศัยวิธีการและกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็น เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด มีการวางแผนดำเนินงานอย่างดี วิเคราะห์ความต้องการของตลาดหรือกลุ่มลูกค้า มีเงินลงทุน มีความกล้าและความอดทนสูงจึงสามารถนำพาธุรกิจของตนอยู่รอดและเจริญเก้าหน้าได้ สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึง คือ ความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้าประจำของธุรกิจนั้นตลอดไป
จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ขนิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันเนื่องจากมีราคาไม้แพงจนเกินไป
1.1 "ความหมายและขอบเขตการจัดการธุรกิจ"
ในปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ธุรกิจจะดำเนินงานได้ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการ และบุคคลสำคัญที่รับผิดชอบในการจัดการโดยตรงก็คือ ผู้บริหารการมีผู้บริการที่มีความสามารถจึงเป็นสิ่งที่องค์การธุรกิจทุกแห่งต้องการ ได่มีนักวิชาการหลายคนกล่าวถึงความหมายของการจัดการ(Management) หรือการบริหาร(Administration)
การจัดการ หมายถึงกระบวนการในการประสมประสานทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ทรัพยากรดังกล่าวได้แก่
1. คน (Man) คือ ทรัพยากรบุคคลที่จะเป็นผู้ปฎิบัติงานในหน้าที่ต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
2. วัสดุสิ่งของ (Material) คือ วัตถุดิบ เครื่องจักร อุปกรณ์และวัสดุสิ่งของต่างๆที่จัดหามาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ
3. เงินทุน (Money) คือ ทรัพยากรสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทรัพยากรอื่นๆ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานไปได้อย่างรายรื่น
4. ข้อมุล (Information) คือ สถิติ ข่างสาร และข้อมูลต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การที่สนับสนุนให้การประสานทรัพยากรอื่นๆ เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสม

ทรัพยากรทั้ง 4 จะได้รับการประสมประสาน ผ่านกระบวนการจัดการหรือหน้าที่ทางการจัดการ (Management Functions) อันประกอบด้วย หน้าที่ในการวางแผน (Planning) การจัดการองค์กร (Organizing) การอำนวยการ (Directing) และการควบคุม (Controlling) โดยแต่ละหน้าที่นอกจากจะมีความสำพันธ์อย่างต่อเนื่องกันตามกระบวนการแล้ว ยังมีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกันตลอดเวลา และเป็นหน้าที่ที่ผู้บริหารทุกคนต้องปฎิบัติ


1.1.1 ประเภทของผู้บริหารแบ่งตามระดับการจัดการ
                  ประเภทของผู้บริหารที่ทำหน้าที่ทางการบริหารจัดการสำหรับธุรกิจโดยแบ่งตามระดับการจัดการ แบ่งออกเป็น 3 ระดับได้แก่
1) ผู้บริหารระดับสูง เช่น ประธานบริษัท เป็นต้น รับผิดชอบในการกำหนดทิศทางการวางแผนกลยุทธ์ และนโยบายต่างๆ ขององค์กรโดยส่วนรวม
2) ผู้บริการระดับกลาง เช่น ผู้จัดการฝ่าย เป็นต้น มีหน้าที่ประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูงและระดับล่าง และรับผิดชอบในการว่างแผนตลอดจนระเบียบปฎิบัติงาน
3) ผู้บริการระดับล่าง เช่น หัวหน้างานเป็นต้น มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมดูแลการปฎิบัติงานหรือคนงาน และให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับเทคนิควิธีการทำงาน


1.1.2 ประเภทของผู้บริหารแบ่งตามหน้าที่งาน
                ประเภทของผู้บริหารที่ทำหน้าที่ทางการบริหารจัดการสำหรับธุรกิจโดยแบ่งตามหน้าที่งานแบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่
1) ผู้บริหารการผลิต เป็นผู้บริการที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในการผลิตสินค้าแลับริการ
2) ผู้บริหารการตลาด เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการตลาดของสินค้าและบริการ
3) ผู้บริหารการเงิน เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านการเงินและบัญชี
4) ผู้บริการทรัพยากรบุคคล เป็นผู้บริการที่รับผิดชอบการจัดการทรัพยากรบุคคล
5) ผู้บริหารทั่วไป เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบประสานงานของทุกๆหน้าที่งานเข้าด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญเฉพาะด้าน

1.2.1 ยุคประมวลผลข้อมูลหรือยุคดีพี(Data Processing Era : DP Era)
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในประเทศไทยเริ่มต้นเมื่อสำนักงานสถิติแห่งประเทศไทยได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพื่อสำมะโนประชากรในราวปี พ.ศ. 2505 หลังจากนั้นก็เริ่มมีการดำเนินการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นทั้งในภาครัฐและเอกชน การใช้คอมพิวเตอร์ในธุรกิจในยุคประมาลผลข้อมูล สามารถสรุปได้เป็น 6 ประเด็นหลักๆได้ดังนี้
1) ลักษณะการใช้งานทั่วไป เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยงานด้านการประมวลผลข้อมูลหรือที่เรียกว่า ระบบประมวณผลรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction Processing System : TPS) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลรายการธุรกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละวันซึ่งเป็นงานระดับพื้นฐานของธุรกิจเพื่อใช้ติดตามกิจกรรมประจำวัน
2) จุดมุ่งหมายของการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล เพื่อช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยเฉพาะในส่วนที่เกิดจากกิจกรรมหลักของธุรกิจในการประมวลผลรายการธุรกิจในแต่ละวัน
3) รูปแบบของการประมวลผลข้อมูล ในระยะแรกมักจะเป็นการทำงานแบบแบตซ์(Batch Processing) แต่ในระยะต่อมามีการทำงานแบบออนไลน์ (Online Processing) มากขึ้น การทำงานแบบแบตซ์นั้นจะเป็นการประมวลผลโดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวณหนึ่ง เพื่อรอประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ในคราวเดียวพร้อมๆกัน ซึ่งแตกต่างจากการประมวลผลแบบออนไลน์ที่เมื่อมีข้อมูลเกิดขึ้นข้อมูลนั้นจะถูกส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลทันที
4) เทคโนโลยีในยุคประมวลผลข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้ในยุคประมวลผลข้อมูลมักจะเป็นเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องที่มีสัดส่วนครองตลาดสูงมาก หน่วยงานขนาดใหญ่โดยส่วนใหญ่จะใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นหลักในการทำงาน นอกจากนี้ยังมี มินิคอมพิวเตอร์ซึ่งนิยมใช้กับองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
5) การบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์ องค์กรธุรกิจที่ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูลเป็นลักษณะแบบรวมอำนาจ (Centralized) สำหรับองค์กรขนาดใหญ่มักจะมีการจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็นฝ่ายคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดเล็กลงมา เพื่อทำหน้าที่จัดหาจัดซื้ออุปกรณ์และซอฟต์แวร์ให้แก่หน่วยงานย่อยภายในองค์การเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงาน
6) การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศ ในยุคประมวลผลซอฟต์แวร์ สำเร็จเพื่อนำไปใช้งานได้ทันทีทีน้อยมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาขึ้นเอง โดยเป็นหน้าที่ของศูนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญในภาษาคอมพิวเตอร์และพัฒนาระบบงาน เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ในองค์การสำหรับระบบสารสนเทศที่จัดทำขึ้นโดยส่วนใหญ่ในยุคประมวลผลข้อมูล มักจะเป็นสารสนเทศเพื่อช่วยให้การปฎิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้องรวดเร็ว ส่วนระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารนั้นมักจะเน้นไปในการควบคุมและจัดสรรการใช้ทรัพยากรภายในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุด

  1.2.2 ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคไอที (Information Technology Era : IT Era)
ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งนิยม เรียกสั้นๆว่า ยุคไอทีนั้นเริ่มต้นขึ้นในราวช่วงปี พ.ศ. 2525 ซึ่งหากดูจากชื่อเรียกของยุคแล้ว ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีและสารสนเทศที่ต้องทำงานควบคู่กันไปในยุคนี้ผู้ประกอบธุรกิจได้ตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตามไม้ได้หมายความว่าการใช้คอมพิวเตอร์เพื่องานประมวลผลข้อมูลทางธุรกิจจะสิ้นสุดลง องค์กรธุรกิจก็ยังคงใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานประมวลผลข้อมูลที่เกิดขึ้นจากงานประจำซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมหลักของธุรกิจอยู่เช่นเดิม
  การใช้คอมพิวเตอร์ในการงานธุรกิจในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสรุปเป็น 5 ประเด็นหลักได้ดังนี้
1) ลักษณะการใช้งานทั่วไป จากที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมานั้น ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์แพร่หลายในวงกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่ในแค่เฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่หรือขนาดกลางเท่านั้น ธุรกิจขนาดเล็กและบุคคลทั่วไปก็สามารถหาซื้อคอมพิวเตอร์ได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป นอกจากนั้นในยุคนี้ยังจะมีโปรแกรมสำเร็จรูปในด้านต่างๆ มาช่วยงาน เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล
2) การประยุคต์ในงานด้านอื่นๆ ในปัจจุบันมีการประยุกต์คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานประมวลผลข้อมูลหรืองานที่เกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้นได้แก่
     2.1) การประยุกต์คอมพิวเตอร์ในการทำงานสำนักงาน ซึ่งเป็นการใช้งานคอมพิวเตอร์ด้านงานเอกสาร และงานด้านอื่นๆ ในสำนักงานให้ที่งานได้อัตโนมัติมากยิ่งขึ้น (Office Automation ; OA) เช่น การนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานด้านการจีดพิมพ์เอกสาร แทนการใช้เครื่องพิมพ์ดีด ทำให้การทำงานของพนักงานพิมพ์ผิดหรือตกหล่นไปบางประโยค การใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยงานพิมพ์จะสามารถแก้ไขและพิมพ์เพิ่มเติมได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเริ่มพิมพ์ใหม่ตั้งแต่ต้น
     2.2) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยด้านการออกแบบสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยให้สินค้ามีคุณภาพและมีคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์สามารถที่จะใช้คอมพิวเตอร์ในการทดลองออกแบบผลิตภัณฑ์ ทั้งรูปแบบและสีสันต่างๆ บนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำได้รวดเร็วและสะดวกเมื่อเปรียบเทียบกับการออกแบบที่เขียนบนกระดาษ
     2.3) การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ(Expert System : ES) ซึ่งเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลความรู้ ความสามารถเฉพาะด้านเปรียบเสมือนมรผู้เชี่ยวชาญในงานด้านนั้นๆ มาคอยให้คำแนะนำ
3) ระบบสารสนเทศในธุรกิจ จะเห็นได้ว่าการใช้งานคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะ ในงานดารประมวลผลข้อมูลที่มีแต่ตัวเลขเท่านั้น ในยุคนี้บทบาทและความสำคัญของระบบสารสนเทศมีมากขึ้นเนื่องจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทำให้ธุรกิจจำเป็นต้องใช้สารสนเทศมาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดทำระบบสารสนเทศภายในหน่วยงาน
4) โปรแกรมสำเร็จรูป ในยุคนี้มีโปรแกรมสำเร็จรูปมากมายซึ่งการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วไป โดยที่ผู้ใช้ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้คำชำนาญในการเขียนโปรแกรม ผู้ใช้สามารถซื้อโปรแกรมสำเร็จมาใช้งานได้ทันที
5) การบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์ ในยุคนี้การบริหารจัดการเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือคอมพิวเตอร์มีการกระจายอำนาจและการกระจายความรับผิดชอบจากศูนย์คอมพิวเตอร์ไปยังหน่วยงานย่อยในธุรกิจมากขึ้น หน่วยงานย่อยในธุรกิจมากจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไว้ใช้งานภายในหน่อยงาน จะเป็นผู้ดูแลทั้งข้อมูลและอุปกรณ์ภายในงานของตนเอง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น
ดังนั้นสรุปได้ว่าในยุคนี้การขยายขอบเขตการใช้คอมพิวเตอร์จากระดับปฎิบัติ มาช่วยในงานระดับบริหารมาขึ้นมักจะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและตัดสินใจโดยอาศัยสารสนเทศเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ
          1.2.3 ยุคเครือข่ายหรือยุคเน็ตเวิร์ค (Network Era)
ยุคเครือข่ายเป็นยุคที่มีการผสมผสานการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ากับเทคโนโลยีโทรคมนาคมเพื่อให้ทำงานร่วมกันเป็นระบบเครือข่าย ระบบเครือข่ายที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งมีขนาดใหญ่ก็คือ ระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นระบบที่ใช้อยู่เฉพาะในแวดวงการศึกษาเท่านั้น แต่ต่อมาได้ขยายออกไปสู่วงการอื่นๆ โดยเฉพาะด้านธุรกิจทำให้เกิดการประยุกต์ใหม่ๆ
การดำเนินธุรกิจในยุคเครือข่ายมีการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน พอสรุปได้ดังนี้ คือ
1) การทำงานภายในองค์การจากเดิมทำงานแบบบุคคล (Personal Computing) เป็นการทำงานแบบกลุ่ม (Work group Computing) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์อื่นๆเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรรวมทั้งข้อมูลข้อมูลร่วมกันได้
2) ระบบงาน จากระบบเดิมที่แยกส่วนๆ ไม่มีการเชื่อมโยงกันก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นระบบงานที่เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันส่งผลให้การบริหารการจัดการทรัพยากรขององค์การธุรกิจ
3) โครงสร้างองค์การธุรกิจ โครงสร้างเดิมที่เน้นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อปฎิบัติงานภายในองค์การเท่านั้นเปลี่ยนเป็นองค์การที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงกับธุรกิจและพันธมิตรทางการค้าเข้าด้วยกัน
4) การประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจ การเกิดการค้ารูปแบบใหม่ๆ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีหลากหลายตั้งแต่การเลือกซื้อสินค้า การชำระเงินโดยบัตรเครดิต หรือระบบการเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น

 สรุป
      ธุรกิจในปัจจุบันได้นำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้งานในการดำเนินงาน ทำให้ประสบความสำเส็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ โดยคอมพิวเตอร์สามารถเข้ามามีบทบาทในระดับผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง ผู้บริหารระดับต้น และ ระดับปฎิบัติการ การใช้คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการวางแผน และการตัดสินใจเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการดำเนินการประจำวันของธุรกิจทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ในการระบบธุรกิจหลัก การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานร่วมกัน และการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานส่วนบุคคลเพื่อการลดต้นทุนในการดำเนินงาน การเพิ่มรูปแบบการบริหารที่หลากหลายและรวดเร็ว การเพิ่มผลผลิตในองค์กร เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ด้านต่างๆ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เครือข่าย รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการทำงานรวมกัน เช่น การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์การประชุมทางไกล การใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดทำเอกสาร การติดตามควบคุมโครงการ รวมถึงด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นต้น

แบบฝึกหัดที่ 1 บทบาทการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการธุรกิจ

1)จงอธิบายความหมายของการจัดการธุรกิจ
ตอบ การจัดการ หมายถึง กระบวนการในการประสมประสานทรัพยากรต่างๆ ที่ทีอยู่เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร อุทิส ศิริวรรณ (2548: 23)

2)จุดมุ่งหมายในการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการธุรกิจ
ตอบ เพื่อให้การทำงานภายในองการธุรกิจนั้นดำเนินไปได้ด้วยดีและรวดเร็วมีความถูกต้องแม่นยำ การทำงานรวมกันของฝ่ายต่างๆภายในองค์การ

3)หน้าที่ของผู้บริหารในการจัดการธุรกิจได้แก่หน้าที่ใดบ้าง
ตอบ
-ผู้บริการระดับสูง เป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดทิศทางการวางแผนกลยุทธ์ และนโยบายต่างๆ ขององค์การโดยส่วนรวม
-ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่ประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูงและระดับล่าง และรับผิดชอบในการวางแผนตลอกจนระเบียบวิธีการปฎิบัติงานสำหรับการดำเนินงานเฉพาะอย่าง
-ผู้บริหารระดับล่าง มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมดูแลผู้ปฎิบัติงานหรือคนงานและให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับเทคนิควิธีการทำงาน

4)คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารได้อย่างไรในการดำเนินธุรกิจ
ตอบ การมีสารสนเทศที่ถูกต้องและทันสมัยตรงประเด็นหรือตรงกับความต้องการ ทันเวลาเพื่อใช้งาน กระบวนการตัดสินใจประกอบด้วยการทำความเข้าใจในปัญหานั้นๆ หลังจากนั้นต้องมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดทางเลือกรวมทั้งการติดตามและการประเมินผล

5)ยกตัวอย่างการใช้ระบบสารสนเทศในการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหาร
ตอบ การวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารโดยการใช้ระบบสารสนเทศคือคือการ เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า ข้อมูลเขตการค้า หรืองบประมาณ เงินสด การลงทุนต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะนำไปวางแผนกลยุทธ์ให้แก่บริษัติได้

6)ยกตัวอย่างการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาบริหารงานของฝ่ายบุคคลในองค์กร
ตอบ การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับฝ่ายบุคคล เช่น การบันทึกข้อมูลของพนักงาน เงินเดือน สวัสดิการต่างๆการผลิตข้อมูลเพื่อค่อยสนับสนุนองค์กร

7)องค์กรใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างความได้เปรียบอย่างไรบ้าง
ตอบ องค์กรใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างความได้เปรียบโดยการเก็บและรวบรวมข้อมูลทั้งภายนอกแล้วภายในบริษัติและนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ทำให้องค์กรสามารถที่จะวางแผนการหรือวางแนวทางความเป็นไปของบริษัติได้ดี

8)ยกตัวอย่างการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานของธุรกิจในระดับปฎิบัติการ
ตอบ การใช้คอมพิวเตอร์ในระดับปฎิบัติการ คือ การใช้งานคอมพิวเตอร์ของแรงงาน นั้นคือการ ทำงานต่างๆที่จะทำให้ธุรกิจนั้นดำเนินไปได้ เช่น งานเอกสาร การเก็บรวบรวมรายการค้าของแต่ละวัน

9)คอมพิวเตอร์มีบทบาทในการจัดธุรกิจแนวใหม่ในลักษณะใดบ้างเกิดผลดีผลเสียอย่างไร
ตอบ คอมพิวเตอร์มีบทบาทอย่างมากในธุรกิจแนวใหม่ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับลูกค้าจนไปถึงการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงิน ข้อดีคือมันสะดวกรวดเร็วมากข้อเสียคือความไว้วางใจกันระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อนั้นค่อนข้างต่ำเพราะผู้ซื้อไม่สามารถเห็นสินค้าจริงๆได้แต่ถ้าหากเป็นบริษัติหรือองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือก็ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

10)จงยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่สนับสนุนในการจัดการธุรกิจมา 3 ตัวอย่าง
ตอบ เทคโนโลยีที่สนับสนุนด้านการจัดการธุรกิจนั้นคือการที่นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้งานที่มีอยู่แล้วหรือสิ่งที่มีอยู่แล้วนั้นดีขึ้น เช่นการใช้คอมพิวเตอร์คำนวณตัวเลขต่างๆ การเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล หรือไม่ก็ก็ใช้งานเครื่องพริ้นรวมกันทั้งหน่วยงาน                                                                                                                      

แบบฝึกหัดที่ 3 การสื่อสารข้อมูลบนระบบเครือข่ายและการประยุกต์ใช้งานสำหรับธุรกิจ

1)เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจและทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อมูลค่าทางธุรกิจมากมายให้แก่ธุรกิจ จงยกตัวอย่างมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับจากการนำเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมมาใช้
ตอบ การประชุมทางไกลโดยผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์  ช่วยลดต้นทุนการเดินทางของผู้เข้าร่วมที่ประชุมที่มาจากสถานที่ต่างๆ

2)จงสรุปความท้าทายในการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน
ตอบ เป้าหมายสำคัญในกระบวนการวางแผนธุรกิจคือแผนงานการสร้างความเร็วให้ระบบเพื่อสนองคำถามพื้นฐานต่อไปนี้
    1.ธุรกิจมีวิธีการที่จะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดให้รวดเร็วได้อย่างไร
    2.คู่แข่งของธุรกิจมีวิธีการที่จะนำสินค้าของเขาเข้าสู่ตลาดให้รวดเร็วได้อย่างไร
    3.ธุรกิจสามารถพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสินค้าที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็วมากน้อยแค่ไหน

3)สรุปความแตกต่างของเครือข่าย LAN,WAN,CAN,MAN มาพอเข้าใจ
ตอบ ระบบเครือข่ายทั้งสี่ระบบนี้มีลักณะคลายกันทั้งหมดมีความแตกต่างกันเพียงระยะการเชื่อมต่อกัน หมายถึงความใหญ่ของเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น LAN สามารถเชื่อมต่อกันได้แค่ในห้องหรือในออฟฟิตได้แต่เครื่อข่าย MAN สามารถเชื่อมต่อกันได้ในระดับจังหวัด

4)จงอธิบายคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลต่อไปนี้มาอย่างเข้าใจ
ตอบ
4.1 Telecommunicatio Telecommunication การติดต่อสื่อสารด้วยการรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างตัวประมวลผล โดยผ่านสื่อกลางที่เชื่อมต้นทางและปลายทางที่ห่างกัน โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์
4.2 Medium เป็นสื่อกลาวที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลจากต้นกำเนิดไปยังปลายทางสื่อกลางนี้อาจจะเป็นเส้นลวดสายไฟ สายเคเบิล เป็นต้น
4.3 Protocol คือ วิธีการหรือกฎระเบียนที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามที่โปรแกรมกำหนด ติดต่อสื่อสารกันได้
4.4 WWW สถานที่รวมของกลุ่มคอมพิวเตอร์ที่มีข้อมูลเตรียมพร้อมไว้ให้ผู้คนอ่านผ่านทางอินเทอร์เน็ต (Internet) โดยใช้ภาษา เอชทีทีพี (HTTP หรือ Hypertext Tranfer Protocol) ทุกหน้าจะมีทั้งเนื้อหาเรื่องราวต่าง ๆ
4.5 Internet คือเครือข่ายส่วนบุคคลหรือตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ,อีเมล, FTP เป็นต้น
4.6 Extranet คือ เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ตคือเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององค์กร
4.7 File Transfer Protocol โปรโตคอลเครือข่ายชนิดหนึ่ง ถูกนำใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างการถ่ายโอนไฟล์ระหว่าง ไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย เรียกว่า โฮสติง
4.8 Client/Server คือ เครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีฐานะการทำงานที่เหมือนๆ กัน เท่าเทียมกันภายในระบบเครือข่าย แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่อง Server ที่ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่างๆ ให้กับ เครื่อง Client หรือเครื่องที่ขอใช้บริการม
4.9 Web Brower โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ
4.10 Router เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายซึ่งทำหน้าที่เหมือนสะพานสำหรับเครื่อข่ายถิ่น หรือระบบเครือข่ายLAN (Local Area Network)เข้ากับระบบเครือข่าย
 WAN (Wide Arwa Network) ขนาดใหญ่

5) สื่อกลางข้อมูลแบบมีสายประกอบไปด้วยสายสัญญาณอะไรบ้าง
ตอบ สายคู่บิดเกลียว  สายโคแอกเชียล เส้นใยนำแสง

6)สื่อกลางข้อมูลแบบไร้สายประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ตอบ คลื่นวิทยุ  สัญญาณไมโครเวฟ  แสงอินฟราเรด  ดาวเทียม  บลทูธ

7)ผู้เรียนคิดว่าเครือข่ายสถาบันการศึกษา หรือองค์กรที่สังกัดอยู่ประกอบไปด้วยเครือข่ายขนิดใดบ้าง
ตอบ สถาบันที่ศึกษาอยู่ประกอบด้วยเครือข่าย ชนิด LAN,WAN,CAN

8).ยกตัวอย่างอุปกรณ์ในระบบแลน (LAN) ที่พบเห็นในองค์กรธุรกิจ มา 2 ตัวอย่างพร้อมบอกประโยชน์ที่ได้รับจากอุปกรณ์นั้นๆ
ตอบ
เราเตอร์ (Router)
    1. เราเตอร์สามารถช่วยเพิ่มการใช้งานของระบบเครือข่ายได้ เพราะเราเตอร์หนึ่งตัวสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้มากกว่า 1 เครื่องทำให้เราสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายได้มากตามลักษณะการใช้งาน
   2. เราเตอร์ที่สามารถปล่อยสัญญาณไวไฟหรือไวท์เลซได้นั้นยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายนำสัญญาณและทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน นอกจากนั้นเราเตอร์ยังมีความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่าน wireless อีกด้วย
   3. เราเตอร์บ้างรุ่นมีการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสมาให้ด้วยทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งาน นอกจากนั้นเราเตอร์จะสามารถป้องกันข้อมูลที่มีการส่งผ่านเราเตอร์ได้ด้วย
  ประโยชน์ของฮับ คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้ากับ Hub มากเท่าใด ยิ่งทำให้แบนด์วิธต่อคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องลดลง
-ฮับ (Hub) ประโยชน์คือเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันโดยการเสียบสายเคเบิลจากคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเข้าที่ฮับ

9) เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินทราเน็ต และเครือข่ายเอ็กซ์ทราเน็ต มีความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ อินทราเน็ตตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตแต่อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆเครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและเอ็กส์ทราเน็ต (Extranet)เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต

10) ยกตัวอย่างบริการบบระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ธุรกิจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการธุรกิจมา 3 บริการ พร้อมบอกเหตุผลประกอบว่านำมาประยุกต์ใช้อย่างไร
ตอบ บริการเข้าใช้ระบบคอมพิวเตอร์ระยะไกล (Remote Login/Telnet) บริการนี้จะช่วยให้การทำงานหรือการซ่อมแซมคอมพิวเตอร์นั้นง่ายขึ้น เช่น การรีโมทเข้ามาเพื่อทำการสอนงานพนักงานหรือการรีโมทเข้ามาเพือซ่อมแซมคอมพิวเตอร์ในระดับซอฟต์แวร์ได้
-บริการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : e-Mail) บริการนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถคชติดต่อสื่อสารกันได้รวดเร็วขึ้นและยังสามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
-บริการติดต่อสนทนาออนไลน์ (Chat) บริการนี้จะทำให้การสนทานากันระหว่างหน่วยงานภายในหรือระหว่างโต๊ะทำงานเป็นไปได้ง่านขึ้นรวดเร็วสามารถตอบกลับได้ทันที่ มีลักษณะคล้ายกับ email แต่จะเป็นทางการน้อยกว่า